การสังเกตพฤติกรรมการ "ปั่น" ในสังคมออนไลน์: กรณีศึกษาเฟซบุ๊ก
การสังเกตพฤติกรรมการ "ปั่น" ในสังคมออนไลน์: กรณีศึกษาเฟซบุ๊ก
ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลไหลเวียนอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมหนึ่งที่ปรากฏชัดและส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อการรับรู้และปฏิสัมพันธ์ทางสังคมคือ "การปั่น" บนแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่างเฟซบุ๊ก การปั่นในที่นี้หมายถึงการสร้าง การส่งต่อ หรือการเพิ่มจำนวนเนื้อหา การกดไลค์ การแชร์ หรือแม้แต่การแสดงความคิดเห็นอย่างเป็นระบบและมีเป้าหมาย เพื่อทำให้ข้อมูลชุดหนึ่งดูมีความนิยม มีอิทธิพล หรือมีความน่าเชื่อถือมากกว่าที่เป็นจริง If you are you looking for more information regarding ปั้มผู้ติดตาม facebook stop by our internet site. งานสังเกตการณ์นี้มุ่งสำรวจปรากฏการณ์ดังกล่าวผ่านการสังเกตแบบมีส่วนร่วมและไม่มีส่วนร่วมในพื้นที่ออนไลน์ตลอดระยะเวลา 3 เดือน โดยมุ่งวิเคราะห์แรงจูงใจ รูปแบบพฤติกรรม และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
การสังเกตเบื้องต้นเปิดเผยให้เห็นว่า "การปั่น" แสดงออกในหลายรูปแบบที่ซับซ้อนและปรับตัวได้ รูปแบบที่ชัดเจนที่สุดคือการปั่นเชิงพาณิชย์ ตัวอย่างที่พบเห็นบ่อยคือโพสต์เกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือสถานประกอบการ โดยเฉพาะร้านอาหารและสถานที่ท่องเที่ยว จะปรากฏการเข้ามากดไลค์และแสดงความคิดเห็นในเชิงบวกจำนวนมากภายในเวลาอันสั้นจากบัญชีผู้ใช้จำนวนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเฉพาะคือมักเป็นบัญชีที่สร้างใหม่ มีกิจกรรมเพียงการกดไลค์หรือคอมเมนต์สั้นๆ ซ้ำๆ และมีรูปโปรไฟล์ที่ไม่ชัดเจนหรือใช้รูปสต็อก การสังเกตโพสต์รีวิวร้านอาหารแห่งหนึ่งพบว่า ภายใน 1 ชั่วโมงหลังโพสต์ มีการกดไลค์เกิน 500 ครั้ง และมีคอมเมนต์ชื่นชมกว่า 100 ความคิดเห็นที่ใช้ภาษาคล้ายคลึงกัน เช่น "อร่อยมากครับ", "ต้องมาอีกแน่นอน" โดยมีรูปแบบประโยคและเวลาการโพสต์ที่ใกล้เคียงกัน สิ่งนี้ชี้ให้เห็นถึงการทำงานของระบบหรือกลุ่มบุคคลที่รับจ้างปั่นยอด engagement ให้กับเพจธุรกิจ
นอกจากเชิงพาณิชย์แล้ว ยังมีการปั่นในประเด็นทางสังคมและการเมืองที่สังเกตได้ชัดเจนในช่วงที่มีเหตุการณ์สำคัญหรือช่วงเลือกตั้ง โพสต์หรือบทความที่มีเนื้อหาโน้มเอียงไปทางความคิดใดความคิดหนึ่งจะได้รับการแชร์และมีปฏิกิริยาจำนวนมหาศาลอย่างรวดเร็วจากกลุ่มบัญชีผู้ใช้ที่มีแนวโน้มจะแสดงออกในทิศทางเดียวกัน บางครั้งการปั่นนี้มาพร้อมกับเนื้อหาที่มีอารมณ์รุนแรง (emotional content) เพื่อกระตุ้นให้เกิดการมีส่วนร่วมและแพร่กระจายที่เร็วขึ้น ตัวอย่างที่น่าสนใจคือกรณีข่าวหนึ่งซึ่งมีการแชร์ข้อมูลจากแหล่งข่าวที่ไม่ชัดเจน พบว่ามีบัญชีจำนวนมากที่แชร์ข้อความเดียวกันเป๊ะๆ ภายในเวลาติดต่อกัน โดยบัญชีเหล่านี้มักมีเพื่อนในจำนวนที่สูงมากแต่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันน้อย ซึ่งอาจบ่งชี้ถึงการเป็นบัญชีที่ถูกสร้างหรือใช้เพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะ

แรงจูงใจเบื้องหลังพฤติกรรมการปั่นนั้นหลากหลาย จากการติดตามและวิเคราะห์บทสนทนาในบางกลุ่มปิด (closed groups) ที่มีการพูดคุยถึงบริการปั่นไลค์และปั่นแชร์ พบว่าแรงจูงใจหลักแบ่งออกเป็นสามด้านหลัก ด้านแรกคือแรงจูงใจทางเศรษฐกิจ ทั้งในรูปแบบการรับจ้างปั่นโดยตรงเพื่อสร้างรายได้ หรือการปั่นเพื่อส่งเสริมธุรกิจของตนเองให้ดูมีชื่อเสียงและดึงดูดลูกค้าจริง ด้านที่สองคือแรงจูงใจทางอุดมการณ์หรือความเชื่อ บุคคลหรือกลุ่มที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองหรือสังคมเดียวกันอาจรวมตัวกันหรือประสานงานเพื่อปั่นเนื้อหาที่สอดคล้องกับความเชื่อของตน เพื่อขยายอิทธิพลทางความคิดและสร้างบรรยากาศทางสังคมให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ ด้านที่สามคือแรงจูงใจทางจิตวิทยา和社会性 เช่น การต้องการเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม การต้องการได้รับความสนใจ หรือแม้แต่การตอบสนองต่อแรงกดดันจากสังคมให้ต้องแสดงออกในประเด็นร้อน
ผลกระทบจากการปั่นที่สามารถสังเกตได้มีทั้งในระดับปัจเจกและสังคม ในระดับปัจเจก ผู้ใช้ทั่วไปจำนวนมากอาจถูกชักนำให้เชื่อหรือตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่ถูกปรุงแต่งความนิยม ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือผู้บริโภคที่เลือกร้านอาหารจากจำนวนรีวิวและไลค์ที่สูงลิบ โดยอาจไม่ทราบว่าความนิยมนั้นถูกสร้างขึ้นมา ผลที่ตามมาอาจเป็นการผิดหวังในคุณภาพบริการที่ได้รับจริง ในระดับสังคมที่กว้างขึ้น การปั่นโดยเฉพาะในประเด็นสาธารณะสามารถบิดเบือนพื้นที่สาธารณะออนไลน์ (digital public sphere) ทำให้ประเด็นที่ควรได้รับการอภิปรายอย่างมีเหตุผลถูกแทนที่ด้วยการโหมประโคมข้อมูลฝ่ายเดียว สิ่งนี้บั่นทอนกระบวนการรับรู้และตัดสินใจร่วมกันของสังคม อาจนำไปสู่ความขัดแย้งและความแตกแยกที่รุนแรงขึ้นได้ เนื่องจากผู้ใช้ถูกปิดล้อมอยู่ในห้องเสียงสะท้อน (echo chamber) ที่มีแต่ความคิดคล้ายๆ กันซึ่งถูกขยายผ่านการปั่น
นอกจากนี้ อัลกอริทึมของเฟซบุ๊กเองก็ดูเหมือนจะถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองและส่งเสริมเนื้อหาที่มี engagement สูง ซึ่งมักเป็นเนื้อหาที่ถูกปั่นให้มีปฏิกิริยามากขึ้น สิ่งนี้สร้างวงจรที่เลวร้าย: เนื้อหาที่ถูกปั่นได้รับความสำคัญจากอัลกอริทึม ถูกแสดงให้ผู้ใช้เห็นมากขึ้น เกิด engagement จริงตามมาเพิ่มเติมจากผู้ใช้ทั่วไป และกลายเป็นความนิยมที่ดู "จริง" มากขึ้นในที่สุด การสังเกตฟีดข่าวของผู้ใช้หลายบัญชีพบว่า โพสต์ที่มีการแชร์และคอมเมนต์จำนวนมากในเวลาสั้นๆ มักจะถูกดันขึ้นมาแสดงในฟีดข่าวอย่างต่อเนื่อง แม้เนื้อหานั้นอาจมาจากแหล่งที่มาไม่น่าเชื่อถือก็ตาม
อย่างไรก็ดี ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่แสดงถึงการตื่นตัวและต่อต้านการปั่นจากผู้ใช้บางกลุ่ม ตัวอย่างเช่น การมีคอมเมนต์ที่ตั้งคำถามถึงความน่าเชื่อถือของรีวิวจำนวนมากในโพสต์เชิงพาณิชย์ การแชร์ข้อมูลเพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริง (fact-check) ในประเด็นร้อนที่ถูกปั่นอย่างหนัก หรือการสร้างกลุ่มที่เน้นการพูดคุยแลกเปลี่ยนด้วยข้อมูลและเหตุผลมากกว่าการแสดงออกเชิงอารมณ์จำนวนมาก สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าแม้การปั่นจะมีอิทธิพล แต่ผู้ใช้ส่วนหนึ่งก็เริ่มพัฒนาภาวะต้านทานและพยายามฟื้นฟูพื้นที่ออนไลน์ให้มีความสมดุลมากขึ้น
สรุปได้ว่าพฤติกรรมการ "ปั่น" บนเฟซบุ๊กเป็นปรากฏการณ์ที่ซับซ้อน มีหลายรูปแบบและหลายแรงจูงใจ มันไม่เพียงเป็นเครื่องมือทางการตลาดเท่านั้น แต่ยังกลายเป็นอาวุธทางสังคมและการเมืองที่ทรงพลังในพื้นที่ดิจิทัล ผลกระทบของมันส่งผลต่อทั้งการตัดสินใจส่วนบุคคลและพลวัตทางสังคมในวงกว้าง การสังเกตครั้งนี้ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียทุกคนควรพัฒนาทักษะการรู้เท่าทันสื่อ (media literacy) ที่สูงขึ้น เพื่อแยกแยะระหว่างความนิยมที่แท้จริงกับความนิยมที่ถูกปรุงแต่ง ในขณะเดียวกัน แพลตฟอร์มอย่างเฟซบุ๊กและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็มีความรับผิดชอบในการออกแบบกลไกที่ตรวจสอบและลดทอนอิทธิพลของการปั่นลง เพื่อรักษาพื้นที่ออนไลน์ให้เป็นพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลและความคิดเห็นที่โปร่งใสและมีคุณภาพต่อไป