"ปั่น" ฟีเจอร์ใหม่จากเฟซบุ๊ก: การปฏิวัติการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย หรือแค่การไล่ตามเทรนด์?

"ปั่น" ฟีเจอร์ใหม่จากเฟซบุ๊ก: การปฏิวัติการมีส่วนร่วมในโซเชียลมีเดีย หรือแค่การไล่ตามเทรนด์?

ในโลกของโซเชียลมีเดียที่การแข่งขันร้อนระอุ การจะดึงความสนใจและเวลาใช้งานจากผู้ใช้ได้นั้นเป็นเรื่องท้าทาย เฟซบุ๊ก (Facebook) แพลตฟอร์มเก่าแก่ที่ดูเหมือนจะเริ่มสูญเสียความสดใหม่ในสายตาคนรุ่นใหม่ ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ล่าสุดที่มีชื่อว่า "ปั่น" (Pan) ออกมาสู่สายตาชาวโลก ฟีเจอร์นี้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในประเทศไทย ไม่เพียงเพราะชื่อที่ฟังดูเป็นไทยและคล้องจองกับวัฒนธรรมอินเทอร์เน็ตท้องถิ่น แต่ยังเพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อท้าชิงพื้นที่การมีส่วนร่วมที่เคยถูกยึดครองโดยแพลตฟอร์มอย่าง TikTok และ Instagram Reels อย่างชัดเจน



"ปั่น" คืออะไร? ในทางเทคนิค มันคือฟีเจอร์ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สร้างและแบ่งปันวิดีโอสั้นๆ แบบแนวตั้ง ที่สามารถเลื่อนดูแบบไม่มีที่สิ้นสุด (infinite vertical scroll) ได้อย่างลื่นไหล ผู้ใช้สามารถเพิ่มเอฟเฟกต์ ดนตรี ฟิลเตอร์ และเครื่องมือแก้ไขที่หลากหลาย คล้ายคลึงกับสิ่งที่เราเห็นในคู่แข่งรายอื่น อย่างไรก็ตาม เฟซบุ๊กพยายามผสานจุดแข็งเดิมของตัวเองเข้าไป นั่นคือเครือข่ายสังคมที่แข็งแกร่งจากเพื่อนและครอบครัว ทำให้เนื้อหาจาก "ปั่น" อาจปรากฏบนฟีดข่าว (News Feed) และเชื่อมโยงกับกลุ่ม (Groups) หรือกิจกรรม (Events) ได้โดยตรง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เฟซบุ๊กยังคงมีความได้เปรียบ



การเปิดตัว "ปั่น" ในประเทศไทยดูจะมีการเตรียมการมาอย่างดี ชื่อ "ปั่น" นั้นสื่อความหมายได้หลายชั้น ทั้งการ "ปั่น" วิดีโอให้ไว การ "ปั่น" เนื้อหาให้ออกมาอย่างต่อเนื่อง หรือแม้แต่การ "ปั่น" ยอด engagement ให้สูงขึ้น มันเป็นคำสแลงที่คนไทยคุ้นเคยและใช้กันทั่วไปในโลกออนไลน์อยู่แล้ว การเลือกชื่อนี้ช่วยให้ฟีเจอร์ใหม่รู้สึกใกล้ชิดและเข้าถึงได้ตั้งแต่แรกเห็น



ปฏิกิริยาจากผู้ใช้และผู้สร้างเนื้อหาในไทยเป็นไปในสองทาง ฝ่ายหนึ่ง โดยเฉพาะผู้สร้างเนื้อหารุ่นใหม่หรืออินฟลูเอนเซอร์ที่คุ้นเคยกับ TikTok อยู่แล้ว มองว่า "ปั่น" เป็นการมาช้าเกินไปและอาจเป็นเพียงการ "ลอก" แนวคิดที่ประสบความสำเร็จจากที่อื่นมาเท่านั้น พวกเขากังวลว่าอัลกอริทึมของเฟซบุ๊กที่เน้นเนื้อหาจากเพื่อนและครอบครัว อาจไม่ส่งเสริมการค้นพบ (discovery) ของผู้สร้างหน้าใหม่ได้ดีเท่ากับแพลตฟอร์มที่สร้างมาเพื่อวิดีโอสั้นโดยเฉพาะ



"มันรู้สึกเหมือนพยายามตามให้ทัน" กล่าวโดย น้ำหวาน อินฟลูเอนเซอร์วัย 24 ปี "ชุมชนและสไตล์การบริโภคเนื้อหาบน TikTok หรือ Reels มันตั้งตัวได้แข็งแรงแล้ว การที่เฟซบุ๊กโยนฟีเจอร์ที่คล้ายกันออกมา โดยที่ DNA หลักของแพลตฟอร์มยังเป็นฟีดข้อความและรูปภาพ มันอาจทำให้ผู้ใช้สับสนและไม่รู้ว่าจะไปใช้ที่ไหนดี"



อย่างไรก็ตาม อีกฝ่าย โดยเฉพาะผู้ใช้เฟซบุ๊กหลักที่เป็นวัยทำงานหรือผู้สูงอายุที่ไม่ได้ใช้งานแพลตฟอร์มอื่นมากนัก Here is more info in regards to ปั่น like facebook review our web page. กลับมองว่า "ปั่น" เป็นการเติมสีสันและตัวเลือกใหม่ที่น่าสนใจบนแพลตฟอร์มที่พวกเขาใช้อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดแอปใหม่หรือเรียนรู้ชุมชนใหม่จากศูนย์ การที่เนื้อหาจาก "ปั่น" ปรากฏบนฟีดเดิม ทำให้พวกเขาได้สัมผัสกับรูปแบบการสื่อสารที่ทันสมัยขึ้นโดยไม่ต้องออกจากคอมฟอร์ตโซน



"สำหรับผมที่ใช้เฟซบุ๊กติดตามข่าวสารบริษัทและกลุ่มงานหลัก การมีวิดีโอสั้นๆ แนวตั้งแทรกมาในฟีดบ้าง มันเป็นการพักสมองที่ดี" สมชาย วิศวกรอายุ 45 ปี ให้ความเห็น "ผมไม่เคยใช้ TikTok เพราะรู้สึกว่าเนื้อหามันไม่เกี่ยวข้องและอาจเสียเวลา แต่พอเป็นวิดีโอจากเพื่อนร่วมงานหรือกลุ่มวิชาชีพที่ผมติดตามอยู่แล้วบนเฟซบุ๊ก มันก็ดูมีประโยชน์และให้ความรู้ในรูปแบบที่สรุปเร็วขึ้น"



ในมุมมองทางธุรกิจ การเปิดตัว "ปั่น" ถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญของ Meta บริษัทแม่ของเฟซบุ๊ก ในการรักษาฐานผู้ใช้และรายได้จากการโฆษณา ตลาดวิดีโอสั้นเป็นตลาดที่โตอย่างก้าวกระโดดและดึงดูดงบประมาณโฆษณาจากแบรนด์ต่างๆ ได้มหาศาล การที่เฟซบุ๊กปล่อยให้พื้นที่นี้ถูกครอบครองโดยคู่แข่งโดยไม่มีอาวุธสู้เลยนั้น เป็นกลยุทธ์ที่อันตราย "ปั่น" จึงเป็นมากกว่าฟีเจอร์เสริม มันคือการประกาศสงครามครั้งใหม่ในสนามโซเชียลมีเดีย



สำหรับแบรนด์และนักการตลาดในไทย "ปั่น" เปิดโอกาสใหม่ในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายบนเฟซบุ๊กด้วยรูปแบบเนื้อหาที่ทันสมัยและมีอัตราการมีส่วนร่วมสูง พวกเขาสามารถรีแพร์เป้าหมาย (retarget) ผู้ใช้ที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเพจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นผ่านวิดีโอรูปแบบใหม่นี้ อย่างไรก็ตาม ความท้าทายอยู่ที่การสร้างเนื้อหาที่แตกต่างและเหมาะกับวัฒนธรรมเฉพาะของชุมชนบนเฟซบุ๊ก ซึ่งอาจไม่ตอบสนองต่อเทรนด์ไวรัลที่รุนแรงเหมือนบนแพลตฟอร์มอื่น



อนาคตของ "ปั่น" ในประเทศไทยยังเป็นปริศนา ความสำเร็จจะไม่ได้วัดกันแค่ที่จำนวนผู้ใช้ที่ลองฟีเจอร์นี้ แต่อยู่ที่ว่ามันจะสามารถสร้างวัฒนธรรมการสร้างและแบ่งปันเนื้อหาแบบใหม่ขึ้นมาได้หรือไม่ ที่ไม่ใช่แค่การคัดลอกสิ่งที่ประสบความสำเร็จจากที่อื่น แต่เป็นการผสมผสานระหว่างความสนุกสนานของวิดีโอสั้นกับจุดแข็งเดิมของเฟซบุ๊ก นั่นคือการเชื่อมโยงผู้คนในวงความสัมพันธ์ที่แท้จริง



ในยุคที่ความสนใจของผู้ใช้เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุด การที่เฟซบุ๊กตัดสินใจ "ปั่น" เข้ามาสู่สงครามวิดีโอสั้นนี้ เป็นการยอมรับถึงการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร การเคลื่อนไหวครั้งนี้ยืนยันว่าไม่มีแพลตฟอร์มใดสามารถหยุดนิ่งได้ในโลกดิจิทัล การปรับตัวและทดลองสิ่งใหม่คือหนทางเดียวที่จะอยู่รอด และสำหรับผู้ใช้ชาวไทยแล้ว การมีตัวเลือกมากขึ้นในการแสดงออกและบริโภคเนื้อหาก็เป็นสิ่งที่ดีตราบใดที่มันไม่กลายเป็นเพียงพื้นที่แห่งการแข่งขันที่ไร้ซึ่งตัวตนที่แท้จริง